คำขวัญประจำจังหวัด
ถิ่นบัวหลวง เมืองรวงข้าว
เชื้อชาวมอญ นครธรรมะ
พระตำหนักรวมใจ สดใสเจ้าพระยา
ก้าวหน้าอุตสาหกรรม
จังหวัดปทุมธานี เดิมเป็นถิ่นฐานบ้านเมืองมาแล้วไม่น้อยกว่า ๓๐๐ ปี นับตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา คือเมื่อพุทธศักราช ๒๒๐๒ มังนันทมิตรได้กวาดต้อนครอบครัวมอญ เมืองเมาะตะมะ อพยพหนีภัยจากศึกพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ครอบครัวมอญเหล่านั้นไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคก จากนั้นมาชุมชนสามโคกได้พัฒนาขึ้นมาตามลำดับ ต่อมาแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแห่งกรุงธนบุรี ชาวมอญได้อพยพหนีพม่าเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอีกเป็นครั้งที่ ๒ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่สามโคก และครั้งสุดท้ายในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้มีการอพยพชาวมอญครั้งใหญ่จากเมืองเมาะตะมะ เข้าสู่ประเทศไทยเรียกว่า " มอญใหญ่" พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญบางส่วนตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านสามโคกอีกเช่นเดียวกัน ฉะนั้นจากชุมชนที่ขนาดเล็ก "บ้านสามโคก" จึงกลายเป็น "เมืองสามโคก" ในกาลต่อมา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงเอาพระทัยใส่ดูแล ทำนุบำรุงชาวมอญเมืองสามโคกไม่ได้ขาด ครั้งเมื่อเดือน ๑๑ พุทธศักราช ๒๓๕๘ ได้เสด็จประพาสที่เมืองสามโคก และประทับที่พลับพลาริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งซ้ายเยื้องเมืองสามโคก ยังความปลาบปลื้มใจให้แก่ชาวมอญเป็นล้นพ้น จึงได้พากันหลั่งไหลนำดอกบัวขึ้นทูลเกล้าฯถวายราชสักการะอยู่เป็นเนืองนิจ ยังความซาบซึ้งในพระราชหฤทัยเป็นที่ยิ่ง จึงบันดาลพระราชหฤทัยให้พระราชทานนามเมืองสามโคกเสียใหม่ว่า "เมืองประทุมธานี" ซึ่งวันนั้นตรงกับวันที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว ชื่อเมืองประทุมธานีจึงได้กำเนิดนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้ใช้คำว่า "จังหวัด" แทน"เมือง" และให้เปลี่ยนการเขียนชื่อจังหวัดใหม่จาก "ประทุมธานี" เป็น "ปทุมธานี" ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯให้ยุบจังหวัดธัญบุรีขึ้นกับจังหวัดปทุมธานีเมื่อ พุทธศักราช ๒๔๗๕ นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้พระราชทานนาม เมืองปทุมธานีเป็นต้นมา จังหวัดปทุมธานีก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์มีศิลปวัฒนธรรม และเอกลักษณ์อื่นๆเป็นของตัวเองซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวปทุมธานีภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และเป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก ตัวเมืองปทุมธานีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯไปทางทิศเหนือประมาณ ๔๖ กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ ๑,๕๖๕ ตารางกิโลเมตร เเบ่งการปกครองออกเป็น ๗ อำเภอ คือ อำเภอเมืองปทุมธานี สามโคก ลาดหลุมเเก้ว ธัญบุรี หนองเสือ คลองหลวง และลำลูกกา
อาณาเขต
ทิศเหนือ ติดกับจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดสระบุรี
ทิศใต้ ติดกับจังหวัดนนทบุรีและกรุงเทพมหานคร
ทิศตะวันออก ติดกับจังหวัดนครนายก และจังหวัดฉะเชิงเทรา
ทิศตะวันตก ติดกับจังหวัดนนทบุรี
ประวัติวัดฉาง
วัดฉาง เดิมตั้งอยู่หมู่ที่ ๖ ต.บ้านฉาง จ.ปทุมธานี ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาอยู่ในเขตเทศบาลเป็น ตำบลบางปรอก อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ที่อยู่ปัจจุบัน วัดฉางตั้งอยู่เลขที่ ๑๐๗ ตำบลบางปรอก อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี ๑๒๐๐๐
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ด้านหน้าวัดมีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งเดียวกับตัวจังหวัดและศาลากลางจังหวัดปทุมธานี ห่างจากจังหวัดลงไปทางใต้ประมาณกิโลเมตรเศษ และห่างจาก อ.สามโคกราว ๖ ก.ม.
วัดฉางมีเนื้อที่ทั้งหมด ๑๗ ไร่ ๑ งาน ๓ ตารางวา เป็นที่ราบลุ่มวัดนี้ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา อุโบสถหลังเก่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๔
และมีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ปัจจุบันได้สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ และมีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๒๒ เมตร ยาว ๔๓ เมตร ได้ผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘
ภายในวัดมีถาวรวัตถุและโบราณวัตถุที่น่าดูชมหลายอย่าง คือ อุโบสถ วิหาร หอสวดมนต์ ศาลาการเปรียญ หอระฆัง เสาหงส์ พระพุทธรูปองค์ใหญ่ เจดีย์ทรงมอญ ศาลาท่าน้ำ
ตามการสันนิษฐานคาดว่าสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยพวกมอญเมืองเมาะตะมะ สาเหตุที่พวกมอญอพยพลงมาครั้งนั้นก็เพราะพระเจ้าปะดุงกษัตริย์พม่า ได้แต่งตั้งชาวพม่าคนหนึ่งเป็นเจ้าเมืองเมาะตะมะ คนผู้นี้เบียดเบียนชาวมอญให้ได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เนืองๆ แต่พวกมอญไม่มีกำลังจะต่อสู้ได้ ชาวมอญที่เป็นเจ้าเมืองและกรรมการหลายคน อันมีสมิงสอดเบาเป็นหัวหน้า จึงปรึกษาพร้อมใจกันอพยพครอบครัวเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อยู่ในพระอาณาจักรไทยโดยความผาสุก
ครั้นถึงปีกุน พ.ศ. ๒๓๕๘ พวกมอญเมาะตะมะถูกพม่ากดขี่ข่มเหงมากขึ้น จึงพร้อมใจกันจับเจ้าเมืองพม่าฆ่าตายเสีย แล้วอพยพเข้ามาในพระราชอาณาจักร ทางเมืองตากบ้าง อุทัยธานีบ้างแต่โดยมากจะเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ เข้าแขวงเมืองกาญจนบุรี จึงโปรดให้กรมพระราชวังสถานมงคลเสด็จขึ้นไปคอยรับครอบครัวมอญอยู่ที่เมืองนนทบุรี จัดหาจากมุงหลังคา และไม้สำหรับปลูกสร้างบ้านเรือน เมื่อครอบครัวมอญมาถึงเมืองนนทบุรีจำนวนสี่หมื่นคนเศษ โปรดให้ตั้งภูมิลำเนาอยู่ในแขวงเมืองปทุมธานีบ้าง เมืองนนทบุรี
บ้าง สมิงสอดเบาที่เป็นหัวหน้านั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นพระยารัตนจักร ตัวนายรามัญที่เป็นผู้ใหญ่มียศอยู่ในเมืองเดิมก็ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็นพระยาทุกคน
สันนิษฐานว่าพวกมอญได้อพยพลงมาอยู่ใน ต.บ้านฉาง ประกอบกับทางราชการได้จัดตั้งฉางขึ้นมาเพื่อสำหรับสะสมเก็บข้าวเครื่องอุปโภคบริโภคต่างๆ ไว้ต้อนรับพวกมอญที่อพยพเข้ามา จึงตั้งชื่อที่อยู่นี้ว่า “บ้านฉาง” เพื่อให้สอดคล้องกับที่ทางการตั้งฉางขึ้น
ครั้นปี พ.ศ. ๒๓๖๐ มีชาวมอญได้อพยพมาอยู่รวมกันมากขึ้นจึงได้สร้างวัดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่ตนเคยนับถือมา และตั้งชื่อว่า “วัดฉาง” ตั้งแต่นั้นสืบมา
อุโบสถ
อุโบสถหลังเก่าได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๔ มีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๑๒ เมตร ยาว ๒๔ เมตร ปัจจุบันได้สร้างอุโบสถหลังใหม่ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๘ และมีเขตวิสุงคามสีมา กว้าง ๒๒ เมตร ยาว ๔๓ เมตร ได้ผูกพัทธสีมา ฝังลูกนิมิต เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๘
รายนามเจ้าอาวาส
- พระอาจารย์ร่าย เป็นชาวรามัญ
- พระครูปทุมเถระสถาน (บุญมี ผุพฺผรมฺโม)
- พระอธิการพะอ๊อก ผุพฺพรมฺโม สกุลเดิม ควรนิยม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๐๗ อายุ ๙๖ ปี พรรษา ๗๕
- พระครูทองใบ อหึสโก สกุลเดิม ทวีลาภ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ ถึง พ.ศ. ๒๕๓๐ อายุ ๙๒ ปี พรรษา ๗๒
- พระครูอนุกูลศาสนการ (เทิ้ม ฐิตจาโร) สกุลเดิม ราษฏร์ดุษฎี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๓๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๑ อายุ ๘๔ ปี พรรษา ๕๒
- พระครูวิภัชปทุมกิจ (วุฒิณา ปญฺญาวโร) สกุลเดิม ตะรุสานนท์ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ ถึง ปัจจุบัน